Miss.Ann Alanna
วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556
(Original soundtrack) Lord of the Rings …Evenstar …ดาราสนธยา....(แปลเพลง)
From the The Lord of the Rings: The Two Towers,
The Complete Recordings - One of the Dúnedain, by Howard Shore
Sindarin version translate to English and Thai
Ú i vethed...
This is not the end...
นี่มันไม่ใช่จุดจบ
nâ i onnad.
It is the beginning.
มันคือการเริ่มต้น
Si boe ú-dhannathach
You cannot falter now
คุณไม่สามารถพูดอะไรได้ในตอนนี้
Ae ú-esteliach nad —
If you trust nothing else
ถ้าคุณไม่เชื่อมั่นในสิ่งใด
Estelio han ....
Trust this ...
ให้เชื่อใน....
estelio veleth.
Trust love.
เชื่อ....ในรัก ...
..................................................................................................................................
เพลงนี้ที่ถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา Sindarin ประกอบภาพยนตร์เรื่องLord of the Rings : The Two Towers เป็นบทเพลงในระหว่างที่ที่ดาราสนธยา อาร์เวน พูดกับ ศิลาพราย อารากอร์น ในช่วงที่เขากำลังสับสนเกี่ยวกับทางเลือก ถึงแม้จะเป็นประโยคสั้นๆแต่คำว่า “เชื่อมั่นในความรัก” ความหมายก็มากมายเหลือล้น...ทุกครั้งที่ปล่อยใจให้เข้าไปอยู่ในโลกของLord of the Rings รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเยื้องกายอยู่ในโลกแห่งความฝันเลย......
ชื่น ชม Peter Jackson จริงๆ การที่จะหาดารามารับบท เอลฟ์สาวผู้มีสมญาว่า ดาราสนธยา Evenstar งดงามดุจ "ดวงดาวที่เจิดจรัสที่สุดในยามย่ำ" ไม่ใช่ความงามที่จะหาได้ง่ายๆเลย
ฟังเพลงได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=im5CIpMFo4Q
The Complete Recordings - One of the Dúnedain, by Howard Shore
Sindarin version translate to English and Thai
Ú i vethed...
This is not the end...
นี่มันไม่ใช่จุดจบ
nâ i onnad.
It is the beginning.
มันคือการเริ่มต้น
Si boe ú-dhannathach
You cannot falter now
คุณไม่สามารถพูดอะไรได้ในตอนนี้
Ae ú-esteliach nad —
If you trust nothing else
ถ้าคุณไม่เชื่อมั่นในสิ่งใด
Estelio han ....
Trust this ...
ให้เชื่อใน....
estelio veleth.
Trust love.
เชื่อ....ในรัก ...
..................................................................................................................................
เพลงนี้ที่ถูกเขียนขึ้นด้วยภาษา Sindarin ประกอบภาพยนตร์เรื่องLord of the Rings : The Two Towers เป็นบทเพลงในระหว่างที่ที่ดาราสนธยา อาร์เวน พูดกับ ศิลาพราย อารากอร์น ในช่วงที่เขากำลังสับสนเกี่ยวกับทางเลือก ถึงแม้จะเป็นประโยคสั้นๆแต่คำว่า “เชื่อมั่นในความรัก” ความหมายก็มากมายเหลือล้น...ทุกครั้งที่ปล่อยใจให้เข้าไปอยู่ในโลกของLord of the Rings รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเยื้องกายอยู่ในโลกแห่งความฝันเลย......
ชื่น ชม Peter Jackson จริงๆ การที่จะหาดารามารับบท เอลฟ์สาวผู้มีสมญาว่า ดาราสนธยา Evenstar งดงามดุจ "ดวงดาวที่เจิดจรัสที่สุดในยามย่ำ" ไม่ใช่ความงามที่จะหาได้ง่ายๆเลย
ฟังเพลงได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=im5CIpMFo4Q
ป้ายกำกับ:
ดาราสนธยา,
แปลเพลง,
Lord of the Rings,
Original soundtrack
ตำแหน่ง:
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
(original soundtrack) Lord of the Rings ...Aníron ....desire ..... ปราถนา ...(แปลเพลง)
.....................................................................................
Sindarin version translate to English and Thai
E mor henion i dhu:
Out of darkness I understand the night:
ออกจากความมืดเถอะนะ ฉันเข้าใจในคืนนี้
Ely siriar, el sila.
Dreams flow, a star shines.
ความฝันเลื่อนไหล เหล่าดาราส่องสว่าง
Ai! Aniron Undomiel.
Ah! I desire Evenstar.
อาห์.! ฉันปราถนาเหลือเกินดาราสนธยา
Tiriel arad 'ala mor
Having watched the day grow dark
หลังจากที่ต้องเฝ้าดูความมืดที่ทวีความแข็งแกร่งขึ้น
Minnon i dhu-sad oltha.
I go into night -- a place to dream.
ฉันจะไปในคืนนี้ ....ณ สถานที่แห่งความฝัน
Ai! Aniron Edhelharn.
Ah! I desire Elfstone.
อาห์.! ฉันปรารถนา เหลือเกิน ศิลาพราย
Alae! Ir el od elin!
Behold! The star of stars!
จงดูเถิด !....ดวงดาวแห่งดวงดาวทั้งหลาย
I 'lir uin el luitha guren.
The song of the star enchants my heart.
บทเพลงแห่งดวงดาว ต่างร่ายมนต์ในใจฉัน
Ai! Aniron Undomiel.
Ah! I desire Evenstar.
อาห์.! ฉันปราถนาเหลือเกินดาราสนธยา
I lacha en naur e-chun
The flame of the fire of the heart
เปลวเพลิงแห่งไฟในจิตใจ
Sila, eria, bronia.
Shines, rises, endures.
ส่องประกาย เพิ่มมากขึ้น ยังคงอยู่
Ai! Aniron Edhelharn
Ah! I desire Elfstone
อาห์.! ฉันปรารถนา เหลือเกิน ศิลาพราย
เป็น บทเพลงที่ว่าด้วยความรู้สึก พร่ำรำพันธ์ การปลุกปลอบ และการให้กำลังใจของ อาร์เวน ดาราสนธยา และ อารากอร์น ศิลาพราย ร่ำถึงความมืดที่คืบคลาน ความหวาดหวั่น ความหวังและกำลังใจ เหมือนกับชื่อเพลงที่ แปลว่า ฉันปราถนา .....
เพลงนี้เป็นบทเพลงที่เขียนขึ้นโดยภาษา Sindarin ซึ่งเป็นภาษาที่ J. R. R. Tolkien ผู้ประพันธ์เรื่อง Lord of the Rings เป็นผู้คิดค้นขึ้น ในตอนที่เราดู LOTR เราจะได้เห็นภาษานี้แทรกอยู่ระหว่างเรื่องหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในบทสนทนา ใบทกลอน หรือในเพลงประกอบภาพยนตร์ เป็นความอัจฉริยะของผู้แต่งหนังสือเรื่องนี้จริงๆที่ ผู้เขียนได้ มอบภาษาที่สวยงามนี้ให้แก่บทประพันธ์ชุดนี้
Lord of the Rings มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า ความรัก ความลุ่มหลง ความหลงใหล ตลอดชั่วชีวิตของฉัน....
ฟังได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=GMF7K-L8oCE
ป้ายกำกับ:
แปลเพลง,
Aniron,
Enya,
Lord of the Rings
ตำแหน่ง:
Bangkok, Thailand
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556
Review & Spoil : Pacific Rim สงครามอสูรเหล็ก มันคือก็อตซิลล่า เวอร์ชั่นหุ่นยนต์
บอกตรงๆว่าสิ่งแรกที่ทำให้สนใจหนังเรื่องนี้คือชื่อผู้
กำกับGuillermodel Toro ( Hellboy , Pan’s
Labyrinth)เพราะเป็นผู้กำกับที่เคยมีเอี่ยวกับ โปรเจค TheHobbit มาพักใหญ่
(แต่ด้วยปัญหาหลายประการทำให้ในที่สุดก็ถอนตัวออกไปแต่ยังมีชื่อในฐานะทีม
เขียนบทภาพยนตร์)และการการกำกับหนังในสไตล์ดาร์ค
สตอรี่(โดยเฉพาะเรื่องPan’s Labyrinth
นี่คงไม่ต้องพูดถึงความมืดหม่นของสไตล์ดาร์คแฟนตาซีที่เราไม่ค่อยได้พบ
เห็นบ่อยนัก)
มาพูดถึงตัวหนังกันบ้างเนื้อเรื่องย่อก็ประมาณว่า วันหนึ่งก็มีสัตว์ประหลาดมาบุกโลกที่เรียกกันว่า “ไคจู” มาบุกโลก มนุษย์จึงต้องสร้างเทคโนโลยีหุ่นยนต์ขั้นสูงขึ้นมาเพื่อใช้ต่อกรกับสัตว์ ประหลาดโดยใช้ชื่อว่าเยเกอร์ ซึ่งการทำงานของ เยเกอร์ จะต้องใช้นักขับหุ่น 2 คนเพื่อคานพลังที่มีมากจนไม่สามารถขับได้ด้วยตัวคนเดียวของหุ่นยนต์
หนังเปิดเรื่องมาด้วยฉากการเข้ารุกรานโลกของเหล่าสัตว์ประหลาด ซึ่งนั่นทำให้กำแพงแห่งบางๆที่แบ่งกั้นมนุษยชาติโดยเชื้อชาติ ศาสนาฯลฯ ถูกทำลายลงทุกประเทศต้องจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อหาทางปราบเจ้าสัตว์ ประหลาดร้าย และหลังจากที่สูญเสียเมืองใหญ่ไปหลายเมืองในที่สุด เทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่เรียกว่า เยเกอร์ ก็ถูกสร้างขึ้น เพื่อปราบไคจู แน่นอนว่าในระยะแรกเหล่าไคจูก็ถูกปราบได้อย่างง่ายดาย โดยกองกำลังหุ่นยนต์ แต่ต่อมาเหล่าไคจูเริ่มมีวิวัฒนาการความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น Raleigh Becket พระเอกของเรื่องที่อยู่ในฐานะพลขับร่วมกับพี่ชายก็ได้ออกร่วมปฏิบัติการ แต่ทว่าเสียท่าให้กับ ไคจู จนพี่ชายของเขาต้องเสียชีวิตทั้งที่ยังอยู่ในสภาวะการเชื่อมต่ออยู่ (ขออธิบายเล็กน้อยถึงหลักการทำงานของ เยเกอร์คือ การใช้สมองของมนุษย์สองคนเชื่อมต่อกันเพื่อควบคุมตัวหุ่นยนต์ ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถมองเห็นความทรงจำของกันและกัน รับรู้ความรู้สึกซึ่งกันและกัน ) ซึ่งถึงท้ายที่สุดเขาจะสามารถเอาตัวรอดกลับมาได้ แต่ในสภาวะที่ต้องรับรู้ความรู้สึก เจ็บปวดและหวาดกลัวของพี่ชายตนก่อนที่จะตาย ทำให้เขาตัดสินใจหันหลังให้กับกองกำลัง และไปใช้ชีวิตในฐานะ คนงานสร้างกำแพง เพื่อป้องกันไคจู
เวลาผ่านไปหลังจากที่ไคจูเริ่มมีวิวัฒนาการ เหล่ากองกำลังหุ่นยนต์ก็เริ่มพบกับความพ่ายแพ้บ่อยขึ้นจนในที่สุด เหล่าผู้ บริหารก็มีมติให้ เวลาอีก 8 เดือนหากไม่สามารถพัฒนากองทัพให้แข็งแกร่งได้จะทำการยุบกองกำลังนี้โดยเลือก ที่จะสร้างกำแพงและอพยพคนไปให้ห่างจากชายฝั่ง 300 กิโลเมตร เพราะเขาคิดว่านั่นเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดหัวหน้ากองกำลัง Stacker Pentecost จึงได้พยายามสร้างทีมที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมาซึ่งแน่นอนว่าตามไปรับพระเอก กลับ มาเข้าร่วมทีมด้วย ต่อจากนั้น เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรก็ลองหาแผ่น DVD มาชมกันได้นะคะ
ส่วนตัวขอยกนิ้วให้กับฉากเปิดเรื่องมากค่ะทำได้สุดยอดจริงๆกับฉาก ดวลเดือดระหว่าง ไคจู กับหุ่นยนต์รบ สนุก ตื่นเต้นสมจริงอย่างที่สุดประหนึ่งเราเข้าไปนั่งร่วมชมอยู่ในเหตุการณ์แถว หน้าโดยเฉพาะตอนที่ฝ่ายพระเอกเสียท่า จนพี่ชายที่เป็นพลขับร่วมต้องตายไปบรรยากาศที่ยังอยู่ในระหว่างการเชื่อมต่อ ความเจ็บปวด ความหวาดกลัวทุกอย่างสื่ออกมาได้อย่างสมจริงมากแต่หลังจากนั้นรู้สึกพลังใน เรื่องจะดร็อปลงไปนิดหน่อย โดยเฉพาะในระหว่างการปูเนื้อเรื่องรู้สึกได้ถึงเคมีที่ไม่เข้ากันของพระนาง แต่ก็ประทับใจพอสมควรกับฉากความสัมพันธ์ ระหว่างหัวหน้ากองกำลังหน่วยปฏิบัติการ Stacker Pentecost และนางเอก Mako Mori ที่สื่ออกมาถึงจะไม่ดีนักแต่ก็ไม่แย่ ส่วนในส่วนท้ายของเรื่องแน่นอนว่าฉากการต่อสู้ยังทำได้อย่างยอดเยี่ยมแต่การ แสดงของนักแสดงนั่นแหละที่ทำให้จากที่อารมณ์ร่วมในหนังควรจะเต็ม 10กลับเหลือแค่ 8 หรือ 7 ในหลายๆซีน
แต่อยากจะขอชื่นชมการแสดงของ Mana Ashida ที่รับบทเป็นMako Moriนางเอกของเรื่องในวัยเด็กมาก เพราะในขณะที่ผู้ใหญ่ก็ทำหน้าที่ตามบทของตัวเองได้แบบไม่ค่อยดีนัก( โดยเฉพาะพระเอก เอ่อ...รู้สึกจะเล่นแข็งๆไปหน่อย)แต่การแสดงของหนูน้อยคนนี้กลับเป็นที่จดจำ มากกว่าการแสดงของผู้ใหญ่ในเรื่องซะอีก ถึงแม้จะเป็นแค่บทที่อยู่ในความทรงจำแต่การแสดง อาการหวาดกลัว ทุกสิ่งทุกอย่างที่สื่ออกมามันแสดงให้เห็นได้ว่าทุกอย่างนั้นน่ากลัวจริงๆ ยอดเยี่ยมมากคาดว่าถ้ามีโอกาสและบทดีๆนักแสดงเด็กคนนี้น่าจะมีอนาคตที่สดใส ในเส้นทางสายนักแสดงแน่นอน
สรุปแล้วก็เป็นหนังที่สนุกมากเรื่องหนึ่งถึงแม้การแสดงของนักแสดงในเรื่องจะ ฉุดอารมณ์ของหนังเรื่องนี้ลงมาอยู่บ้างแต่ในแง่ของสเปเชี่ยลเอฟเฟ็ก ความสมจริงของฉากต่อสู้ ดีไซน์คาแร็กเตอร์ทั้งฝ่ายไคจูและฝ่ายเยเกอร์ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้าไม่ยึดติดกับการแสดงของนักแสดงมากนัก แค่ดูหุ่นยักษ์กับสัตว์ประหลาดสู้กันก็คุ้มแสนคุ้มแล้วค่ะ
ขอให้สนุกกับการชมภาพยนตร์นะคะ (^^)
มาพูดถึงตัวหนังกันบ้างเนื้อเรื่องย่อก็ประมาณว่า วันหนึ่งก็มีสัตว์ประหลาดมาบุกโลกที่เรียกกันว่า “ไคจู” มาบุกโลก มนุษย์จึงต้องสร้างเทคโนโลยีหุ่นยนต์ขั้นสูงขึ้นมาเพื่อใช้ต่อกรกับสัตว์ ประหลาดโดยใช้ชื่อว่าเยเกอร์ ซึ่งการทำงานของ เยเกอร์ จะต้องใช้นักขับหุ่น 2 คนเพื่อคานพลังที่มีมากจนไม่สามารถขับได้ด้วยตัวคนเดียวของหุ่นยนต์
หนังเปิดเรื่องมาด้วยฉากการเข้ารุกรานโลกของเหล่าสัตว์ประหลาด ซึ่งนั่นทำให้กำแพงแห่งบางๆที่แบ่งกั้นมนุษยชาติโดยเชื้อชาติ ศาสนาฯลฯ ถูกทำลายลงทุกประเทศต้องจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อหาทางปราบเจ้าสัตว์ ประหลาดร้าย และหลังจากที่สูญเสียเมืองใหญ่ไปหลายเมืองในที่สุด เทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่เรียกว่า เยเกอร์ ก็ถูกสร้างขึ้น เพื่อปราบไคจู แน่นอนว่าในระยะแรกเหล่าไคจูก็ถูกปราบได้อย่างง่ายดาย โดยกองกำลังหุ่นยนต์ แต่ต่อมาเหล่าไคจูเริ่มมีวิวัฒนาการความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น Raleigh Becket พระเอกของเรื่องที่อยู่ในฐานะพลขับร่วมกับพี่ชายก็ได้ออกร่วมปฏิบัติการ แต่ทว่าเสียท่าให้กับ ไคจู จนพี่ชายของเขาต้องเสียชีวิตทั้งที่ยังอยู่ในสภาวะการเชื่อมต่ออยู่ (ขออธิบายเล็กน้อยถึงหลักการทำงานของ เยเกอร์คือ การใช้สมองของมนุษย์สองคนเชื่อมต่อกันเพื่อควบคุมตัวหุ่นยนต์ ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถมองเห็นความทรงจำของกันและกัน รับรู้ความรู้สึกซึ่งกันและกัน ) ซึ่งถึงท้ายที่สุดเขาจะสามารถเอาตัวรอดกลับมาได้ แต่ในสภาวะที่ต้องรับรู้ความรู้สึก เจ็บปวดและหวาดกลัวของพี่ชายตนก่อนที่จะตาย ทำให้เขาตัดสินใจหันหลังให้กับกองกำลัง และไปใช้ชีวิตในฐานะ คนงานสร้างกำแพง เพื่อป้องกันไคจู
เวลาผ่านไปหลังจากที่ไคจูเริ่มมีวิวัฒนาการ เหล่ากองกำลังหุ่นยนต์ก็เริ่มพบกับความพ่ายแพ้บ่อยขึ้นจนในที่สุด เหล่าผู้ บริหารก็มีมติให้ เวลาอีก 8 เดือนหากไม่สามารถพัฒนากองทัพให้แข็งแกร่งได้จะทำการยุบกองกำลังนี้โดยเลือก ที่จะสร้างกำแพงและอพยพคนไปให้ห่างจากชายฝั่ง 300 กิโลเมตร เพราะเขาคิดว่านั่นเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดหัวหน้ากองกำลัง Stacker Pentecost จึงได้พยายามสร้างทีมที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมาซึ่งแน่นอนว่าตามไปรับพระเอก กลับ มาเข้าร่วมทีมด้วย ต่อจากนั้น เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรก็ลองหาแผ่น DVD มาชมกันได้นะคะ
ส่วนตัวขอยกนิ้วให้กับฉากเปิดเรื่องมากค่ะทำได้สุดยอดจริงๆกับฉาก ดวลเดือดระหว่าง ไคจู กับหุ่นยนต์รบ สนุก ตื่นเต้นสมจริงอย่างที่สุดประหนึ่งเราเข้าไปนั่งร่วมชมอยู่ในเหตุการณ์แถว หน้าโดยเฉพาะตอนที่ฝ่ายพระเอกเสียท่า จนพี่ชายที่เป็นพลขับร่วมต้องตายไปบรรยากาศที่ยังอยู่ในระหว่างการเชื่อมต่อ ความเจ็บปวด ความหวาดกลัวทุกอย่างสื่ออกมาได้อย่างสมจริงมากแต่หลังจากนั้นรู้สึกพลังใน เรื่องจะดร็อปลงไปนิดหน่อย โดยเฉพาะในระหว่างการปูเนื้อเรื่องรู้สึกได้ถึงเคมีที่ไม่เข้ากันของพระนาง แต่ก็ประทับใจพอสมควรกับฉากความสัมพันธ์ ระหว่างหัวหน้ากองกำลังหน่วยปฏิบัติการ Stacker Pentecost และนางเอก Mako Mori ที่สื่ออกมาถึงจะไม่ดีนักแต่ก็ไม่แย่ ส่วนในส่วนท้ายของเรื่องแน่นอนว่าฉากการต่อสู้ยังทำได้อย่างยอดเยี่ยมแต่การ แสดงของนักแสดงนั่นแหละที่ทำให้จากที่อารมณ์ร่วมในหนังควรจะเต็ม 10กลับเหลือแค่ 8 หรือ 7 ในหลายๆซีน
แต่อยากจะขอชื่นชมการแสดงของ Mana Ashida ที่รับบทเป็นMako Moriนางเอกของเรื่องในวัยเด็กมาก เพราะในขณะที่ผู้ใหญ่ก็ทำหน้าที่ตามบทของตัวเองได้แบบไม่ค่อยดีนัก( โดยเฉพาะพระเอก เอ่อ...รู้สึกจะเล่นแข็งๆไปหน่อย)แต่การแสดงของหนูน้อยคนนี้กลับเป็นที่จดจำ มากกว่าการแสดงของผู้ใหญ่ในเรื่องซะอีก ถึงแม้จะเป็นแค่บทที่อยู่ในความทรงจำแต่การแสดง อาการหวาดกลัว ทุกสิ่งทุกอย่างที่สื่ออกมามันแสดงให้เห็นได้ว่าทุกอย่างนั้นน่ากลัวจริงๆ ยอดเยี่ยมมากคาดว่าถ้ามีโอกาสและบทดีๆนักแสดงเด็กคนนี้น่าจะมีอนาคตที่สดใส ในเส้นทางสายนักแสดงแน่นอน
ทำไมถึงบอกว่า Pacific Rim คือ ก็อตซิลล่า เวอร์ชั่นหุ่นยนต์ ถึงแม้ส่วนตัวจะไม่ได้เป็นแฟนพันธ์แท้ หนังเฟรนด์ไชน์ชุดนี้ แต่อารมณ์ครั้งแรกที่เปิดตัวมากับฉากต่อสู้ระหว่างฝ่ายไคจู และ หุ่นยนต์เยเกอร์ มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังก็อตซิลล่าปะทะสัตว์ประหลาดอย่างมากถึงจะ ไม่ได้ดูก็อตซิลล่ามานานแล้วแต่มันเป็นอารมณ์คงค้างที่ติดอยู่ในใจเสมอเพราะ มันเหมือนการต่อสู้กันของยักษ์ใหญ่สองตัวที่มีอารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดจำได้ว่าตอนเด็กเคยดูก็อตซิลล่าสู้กับอะไรสักอย่าง(น่า จะเป็นคิงคองมั้ง) แล้วร้องให้เพราะสงสารทั้งสองฝ่าย(555) มันเป็นความละม้ายคล้ายคลึงอย่าง ประหลาดในแง่ของอารมณ์หลักของเรื่อง ซึ่งก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทั้งที่หนังเรื่องนี้เป็นหนังจากทาง ฝั่งHollywood
แต่กลิ่นอายและอารมณ์มันถึงดูเป็น Japan มากมายขนาดนี้ (ตอนเห็นไคจูครั้งแรกนึกถึง “ไคจู”
สัตว์ประหลาดในการ์ตูนเรื่องLetter Bee แถมหน้าตาของเจ้าไคจูในเรื่องก็ดันไปคล้ายกับในการ์ตูนอีกพอพูดถึงเรื่องการ สร้างกำแพงก็ไปคิดถึง Attack on Titan พอ ดูอารมณ์หลักก็ดันไปนึกถึงก็อตซิลล่าอีกน่าจะมาจากช่วงนี้ดูการ์ตูนญี่ปุ่น มากไปหน่อย ) แถมยังแกนที่เน้นไปที่พลังมิตรภาพ
สามัคคีคือพลังอะไรนั่นอีก แผ่กระจายไปเต็มเรื่อง หรือว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันยังไงถ้าใครที่ติดตามโปรเจคนี้มาตลอดทราบก็ รบกวนช่วยบอกทีนะคะ
สรุปแล้วก็เป็นหนังที่สนุกมากเรื่องหนึ่งถึงแม้การแสดงของนักแสดงในเรื่องจะ ฉุดอารมณ์ของหนังเรื่องนี้ลงมาอยู่บ้างแต่ในแง่ของสเปเชี่ยลเอฟเฟ็ก ความสมจริงของฉากต่อสู้ ดีไซน์คาแร็กเตอร์ทั้งฝ่ายไคจูและฝ่ายเยเกอร์ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้าไม่ยึดติดกับการแสดงของนักแสดงมากนัก แค่ดูหุ่นยักษ์กับสัตว์ประหลาดสู้กันก็คุ้มแสนคุ้มแล้วค่ะ
ขอให้สนุกกับการชมภาพยนตร์นะคะ (^^)
ป้ายกำกับ:
ภาพยนตร์,
สงครามอสูรเหล็ก,
หนัง,
movie,
Pacific Rim,
Review,
Spoil
ตำแหน่ง:
Bangkok, Thailand
Review & Spoil : World War Z : มหาวิบัติสงคราม Z ..สนุกแต่ไม่สุด
เพิ่งดูสดๆร้อนๆก็อดที่จะพูดถึงไม่ได้ถึงจะเป็นหนังที่ออกมาเป็น DVD แล้วแต่ไหนๆก็เพิ่งได้ดู เลยอยากจะเอามาเล่าสู่กันฟังค่ะ
เรื่อง คร่าวๆก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์โลกที่ติดเชื้อโรคร้ายชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ ผู้ติดเชื้อมีอาการเหมือนซอมบี้ แล้วพระเอกของเรา(ในเรื่องพระเอกเป็นหน่วยปฏิบัติการลับจากสหประชาชาติ) ถูกส่งไปหาวิธีแก้ไขโดยตอนแรกถูกส่งไปกับทีมทหารและนักวิทยศาสตร์แต่เจ้า กรรม นักวิทยาศาสตร์ดันตายซะก่อน ทำให้พระเอกต้องหาทางเอาตัวรอดจากซอมบี้ ในขณะที่ต้องหาวิธีแก้ปัญหาเชื้อไวรัสนี้ไปด้วย เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรก็ลองหา DVD มาดูกันได้นะคะ
เป็นหนังแนวซอมบี้ที่พวกเราคุ้นเคยดีแต่ที่แปลกและแตกต่างจากซอมบี้เรื่อง อื่นคือซอมบี้ในเรื่องนี้วิ่งได้และไม่กลัวแสง(ถ้าใครนึกไม่ออกให้ลองเอาภาพ ซอมบี้จาก I Am Legend + Resident Evil มารวมกัน) ก็เป็นหนังที่สนุก แต่อารมณ์เหมือนมันยังไม่สุด ถ้าให้เปรียบเทียบกับหนังแนวเดียวกันอารมณ์ใกล้เคียงกัน อย่าง I Am Legend แล้วจะเห็นว่าฉากที่เกี่ยวกับอารมณ์และฉากแอ๊คชั่น ทำได้ดีกว่ามาก
ขอ พูดถึงฉากที่เกี่ยวกับอารมณ์ก่อน ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวฉากกับความสัมพันธ์ในครอบครัวพระเอก หรือเพื่อนร่วมทางอย่างทหารสาว บอกตรงๆว่าดูแล้วไม่สามารถรู้สึกได้เลยว่าพวกเค้าผูกพันกันจริงๆ แน่นอนว่านักแสดงทุกคนทำหน้าที่ได้ดีแต่ มันมองไม่เห็นความผูกพันธ์ในดวงตาอาจจะเป็นเพราะบทที่ค่อนข้างกระชับและเน้น ไปที่วิบัติภัยต่างๆที่พระเอกต้องไปเผชิญก็เป็นได้
คราวนี้มาพูดถึงฉากแอ๊คชั่นบ้าง แน่นอนเอฟเฟ็คเต็มๆตา อลังการงานสร้างมากมาย แต่แปลกที่ดูแล้วรู้สึกไม่ค่อยลุ้นไปกับพระเอกมากนัก เทียบกับ I Am Legend ที่ฉากแอ๊คชั่นสเกลน้อยกว่าแต่เราต้องลุ้นระทึกกันว่าพระเอกจะสามารถเอาตัว รอดได้รึเปล่า ( ส่วนตัวไม่เคยลืมฉากที่พระเอกติดกับซอมบี้และโดนแขวนห้อยหัวจนตะวันตกดิน ) แต่กับเรื่องนี้เหมือนว่าพระเอกมีหน้าที่แค่วิ่งไปตามทางที่ตัวละครในเรื่อง หลายๆตัวปูไว้ให้ จะมีลุ้นนิดหน่อยตอนที่พระเอกจะต้องตัดสินใจว่าจะยอมเสี่ยงกับสมติฐานที่ ยังไม่ได้พิสูจน์ยอมเสี่ยงฉีดรคร้ายเพื่อเอาตัวรอดรึเปล่า แต่นอกจากนั้น ถ้าไม่นับเกี่ยวกับระเบิดโครมคราม กับซอมบี้วิ่งพล่านแล้ว ส่วนตัวคิดว่ามันค่อนข้างอืดๆและเนือยๆเลยทีเดียว
สรุปว่าถ้าใครชอบหนังแนวซอมบี้กึ่งไซไฟนิดๆ เอฟเฟ็คตระการตา เรื่องนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน เนื้อเรื่องก็สนุกพอใช้ แต่ไม่ค่อยมีอะไรให้จดจำเท่าไหร่ นอกจาก Brad Pitt ( ฉันรักผู้ชายคนนี้ 555+) ก็เอาเป็นว่าเอาไว้ให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคอหนังไซไฟขายดารา ดูได้พอเพลินๆก็แล้วกันนะคะ
เรื่อง คร่าวๆก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์โลกที่ติดเชื้อโรคร้ายชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ ผู้ติดเชื้อมีอาการเหมือนซอมบี้ แล้วพระเอกของเรา(ในเรื่องพระเอกเป็นหน่วยปฏิบัติการลับจากสหประชาชาติ) ถูกส่งไปหาวิธีแก้ไขโดยตอนแรกถูกส่งไปกับทีมทหารและนักวิทยศาสตร์แต่เจ้า กรรม นักวิทยาศาสตร์ดันตายซะก่อน ทำให้พระเอกต้องหาทางเอาตัวรอดจากซอมบี้ ในขณะที่ต้องหาวิธีแก้ปัญหาเชื้อไวรัสนี้ไปด้วย เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรก็ลองหา DVD มาดูกันได้นะคะ
เป็นหนังแนวซอมบี้ที่พวกเราคุ้นเคยดีแต่ที่แปลกและแตกต่างจากซอมบี้เรื่อง อื่นคือซอมบี้ในเรื่องนี้วิ่งได้และไม่กลัวแสง(ถ้าใครนึกไม่ออกให้ลองเอาภาพ ซอมบี้จาก I Am Legend + Resident Evil มารวมกัน) ก็เป็นหนังที่สนุก แต่อารมณ์เหมือนมันยังไม่สุด ถ้าให้เปรียบเทียบกับหนังแนวเดียวกันอารมณ์ใกล้เคียงกัน อย่าง I Am Legend แล้วจะเห็นว่าฉากที่เกี่ยวกับอารมณ์และฉากแอ๊คชั่น ทำได้ดีกว่ามาก
ขอ พูดถึงฉากที่เกี่ยวกับอารมณ์ก่อน ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวฉากกับความสัมพันธ์ในครอบครัวพระเอก หรือเพื่อนร่วมทางอย่างทหารสาว บอกตรงๆว่าดูแล้วไม่สามารถรู้สึกได้เลยว่าพวกเค้าผูกพันกันจริงๆ แน่นอนว่านักแสดงทุกคนทำหน้าที่ได้ดีแต่ มันมองไม่เห็นความผูกพันธ์ในดวงตาอาจจะเป็นเพราะบทที่ค่อนข้างกระชับและเน้น ไปที่วิบัติภัยต่างๆที่พระเอกต้องไปเผชิญก็เป็นได้
คราวนี้มาพูดถึงฉากแอ๊คชั่นบ้าง แน่นอนเอฟเฟ็คเต็มๆตา อลังการงานสร้างมากมาย แต่แปลกที่ดูแล้วรู้สึกไม่ค่อยลุ้นไปกับพระเอกมากนัก เทียบกับ I Am Legend ที่ฉากแอ๊คชั่นสเกลน้อยกว่าแต่เราต้องลุ้นระทึกกันว่าพระเอกจะสามารถเอาตัว รอดได้รึเปล่า ( ส่วนตัวไม่เคยลืมฉากที่พระเอกติดกับซอมบี้และโดนแขวนห้อยหัวจนตะวันตกดิน ) แต่กับเรื่องนี้เหมือนว่าพระเอกมีหน้าที่แค่วิ่งไปตามทางที่ตัวละครในเรื่อง หลายๆตัวปูไว้ให้ จะมีลุ้นนิดหน่อยตอนที่พระเอกจะต้องตัดสินใจว่าจะยอมเสี่ยงกับสมติฐานที่ ยังไม่ได้พิสูจน์ยอมเสี่ยงฉีดรคร้ายเพื่อเอาตัวรอดรึเปล่า แต่นอกจากนั้น ถ้าไม่นับเกี่ยวกับระเบิดโครมคราม กับซอมบี้วิ่งพล่านแล้ว ส่วนตัวคิดว่ามันค่อนข้างอืดๆและเนือยๆเลยทีเดียว
สรุปว่าถ้าใครชอบหนังแนวซอมบี้กึ่งไซไฟนิดๆ เอฟเฟ็คตระการตา เรื่องนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน เนื้อเรื่องก็สนุกพอใช้ แต่ไม่ค่อยมีอะไรให้จดจำเท่าไหร่ นอกจาก Brad Pitt ( ฉันรักผู้ชายคนนี้ 555+) ก็เอาเป็นว่าเอาไว้ให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคอหนังไซไฟขายดารา ดูได้พอเพลินๆก็แล้วกันนะคะ
ป้ายกำกับ:
ภาพยนตร์,
มหาวิบัติสงคราม Z,
หนัง,
movie,
Review,
Spoil,
World War Z
ตำแหน่ง:
Bangkok, Thailand
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556
Review & Spoil : The Wolf Children Ame And Yuki - คู่จี๊ดชีวิตอัศจรรย์
เป็นเรื่องราวของ ฮานะ นักศึกษาสาวที่ตกหลุมรัก “เขา” ซึ่งดูภายนอกเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งแต่ที่จริงแล้วเขานั้นเป็น “มนุษย์หมาป่า” ถึง
กระนั้นก็ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
ทั้งสองตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ต่อมาไม่นานพวกเขาก็มีลูก
โดยตั้งชื่อลูกสาวคนแรกว่า “ยูกิ” ที่แปลว่า “หิมะ” เพราะเธอเกิดในวันที่หิมะตก และลูกชายคนที่สองชื่อ “อาเมะ” ที่แปลว่าฝนเพราะเขาเกิดในวันที่ฝนตก
(Spoil)ถ้าใครไม่ต้องการทราบเนื้อเรื่องล่วงหน้ากรุณาข้ามส่วนนี้ไป
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นเมื่อ“เขา” ผู้เป็นทั้งสามีและพ่อของลูกได้จากไปอย่างกะทันหัน ทำให้ฮานะ ต้องรับบทบาทในการเป็นsingle mom ที่ ต้องเลี้ยงลูกน้อยทั้งสองคนเพียงลำพัง ซึ่งในระหว่างนั้นปัญหาต่างๆก็ได้ถาโถมเข้ามาอย่างหนักทั้งปัญหาด้านการเงิน และเพราะการที่เด็กทั้งสองเป็น “เด็กพิเศษ” ทำ ให้การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่เป็นเรื่องยากลำบากและในที่สุด ฮานะ ก็ตัดสินใจพาลูกน้อยทั้งสองไปใช้ชีวิตที่ชนบทอันห่างใกลเพื่อปกปิดความลับ เรื่องที่ลูกน้อยทั้งสองของเธอก็ได้รับสายเลือดของความเป็นมนุษย์หมาป่ามา ด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ห้อมล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าป่าเขา ที่นั่นเธอต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมดและด้วยความช่วย เหลือของคนในท้องถิ่นในที่สุดเธอก็สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมชนบทได้ และเมื่อวันเวลาผ่านไปเด็กน้อยทั้งสองก็ได้เติบโตขึ้นโดยที่ยูกิเติบโตเป็น เด็กหญิงที่มีนิสัยสดใสร่าเริง ผิดกับอาเมะที่ค่อนข้างจะเป็นคนขี้กลัวและเงียบขรึม
ในฤดูหนาววันหนึ่งขณะที่ ฮานะ ยูกิ และอาเมะ ออกไปวิ่งเล่นชมหิมะที่ชายป่า อาเมะก็ได้ประสบอุบัติเหตุตกลงไปในแม่น้ำแต่เคราะห์ดีที่ยูกิเข้าช่วยเหลือ ได้ทันเวลาและหลังจากวันนั้นอาเมะก็ได้เปลี่ยนไป จากที่เคยกลัวและสับสนในสภาพลูกครึ่งหมาป่าของตนเองกลายเป็นมีความกล้าที่จะ ยอมรับสภาพที่ตนเป็นและเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในแบบของหมาป่า ผิดกับ ยูกิ ที่เมื่อเริ่มเติบโตเป็นหญิงสาวกลับเริ่มรู้สึกอายสภาพพิเศษของตัวเองและ เลือกที่จะปกปิดมันไว้จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเผลอไปทำร้ายเพื่อนร่วมชั้นทำให้ เธอตัดสินใจที่จะไม่ยอมเปิดเผยสภาพหมาป่าอีกในที่สุด
ท้ายที่ สุดจุดพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิตของฮานะก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อ ลูกชายของเธอ ตัดสินใจที่จะเลือกใช้ชีวิตตามวิถีของหมาป่าซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอกลัวมา ตลอด ในและวันที่เขาตัดสินใจที่จะเข้าไปใช้ชีวิตในพงไพรเธอตัดสินใจเข้าไปตามหา เขาในป่าเพื่อหยุดยั้งเขา แต่ในท้ายที่สุดเมื่อนั่นเป็นการตัดสินใจของลูก เธอก็ตัดสินใจปล่อยให้ลูกชายของเธอใช้ชีวิตในแบบที่เขาต้องการและส่งเขาไป ด้วยรอยยิ้ม ส่วนยูกิเธอก็เลือกใช้ชีวิตในแบบของมนุษย์ โดยที่เริ่มต้นชีวิตในการเป็นเด็กสาวมัธยมและย้ายออกจากบ้านไป ในขณะที่แม่ของเธอยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่ชนบทและเฝ้ามองการใช้ชีวิต ตามเส้นทางที่ลูกทั้งสองของเธอได้เลือกด้วยความรักต่อไป
Wolf Children เดินเรื่องโดยผ่านตัวละครหลัก 3 คน ซึ่งก็ค่อนข้างเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามสไตล์ที่เราจะสามารถพบได้บ่อยๆทั้งใน ภาพยนตร์และการ์ตูนของญี่ปุ่น ถึงจะมีเรื่องราวของความเป็นแฟนตาซีอยู่บ้าง แต่โดยแกนหลักของเรื่องแล้วเน้นไปที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของครอบครัว
เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตแบบ Single mom ของฮานะ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกของตนนั้นเป็น “เด็กพิเศษ” ในตอนต้นเรื่องนั้นฮานะ เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ในเรื่องไม่ได้บอกต่อว่าเมื่อเธอตัดสินใจเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับ “เขา” นั้นเธอยังศึกษาต่อหรือจบการศึกษาแล้ว ซึ่งมันสะท้อนภาพสังคมของญี่ปุ่นซึ่งตัวผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจได้ ถูกต้องรึเปล่า แต่จากที่เห็นจากทั้งซีรี่ย์ ภาพยนตร์และการ์ตูนที่มาจากประเทศนี้บทบาทของผู้หญิงส่วนมากเมื่อตกลงปลงใจ ที่จะเริ่มชีวิตคู่แล้ว มักจะผันตัวเองมาทำหน้าที่อยู่กับบ้านเพื่อดูแลครอบครัว ซึ่งการที่ทั้งคู่ตัดสินใจเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่เมื่ออายุยังน้อย และมีลูกในเวลาอันรวดเร็วนั้น คงจะบอกไม่ได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือผิดแต่เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาด ฝันอย่างการจากไปอย่างกะทันหันของ “เขา” นั้นส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดกับการดำเนินชีวิตของตัวฮานะและลูกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเศรษฐกิจและสถานะความเป็นเด็กพิเศษเฉกเช่นเดียวกับ “เขา” แน่นอนว่าเธอยังไม่ได้รู้จักเขามากพอ เพราะทั้งเรื่องเราจะได้ยินฮานะย้ำตลอดว่าเธอไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับการ ใช้ชีวิตที่ผ่านมาของ “เขา” เลย การที่จะเลี้ยงดูลูกทั้งสองให้เติบโตขึ้นมาในแบบที่ควรจะเป็นได้นั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการลองผิดลองถูกและใช้สัญชาตญาณแห่งความเป็นแม่ล้วนๆ
เรื่องราวดำเนินผ่านไปด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ในการทำหน้าที่แม่ของฮา นะและความช่วยเหลือของหลายๆคน ทำให้ในที่สุดเธอก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาและได้ใช้ชีวิตกับลูกๆ อย่างสงบสุขได้ เหตุการณ์กลับพลิกผันอีกครั้งเมื่อลูกน้อยทั้งสองเติบใหญ่ขึ้นและเริ่มที่จะ ตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางชีวิตของตนเอง ในกรณีของยูกินั้นเธอเลือกที่จะใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ ด้วยหลายปัจจัยดังที่ปรากฎในเรื่อง ซึ่งแม่ของเธอก็เห็นด้วยเพราะว่าโลกที่ยูกิเลือกนั้นเป็นโลกที่ฮานะผู้เป็น แม่นั้นรู้จักดี
ต่างจากกรณีของ อาเมะ ที่เลือกที่จะใช้ชีวิตเยี่ยงหมาป่า ซึ่งผู้เป็นแม่ได้พยายามที่จะขอร้องในทุกทางเพื่อให้เขาอยู่ในโลกของเธอ โลกที่เธอรู้จัก โลกที่สามารถดูแลและปกป้องเขาได้ ต่อไปแต่ในท้ายที่สุด เมื่อถึงเวลาที่เรียกว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต อาเมะ ตัดสินใจที่จะก้าวไปตามเส้นทางที่ตัวเองเลือก ตัวฮานะ พยามยามที่จะยื้อแต่ในท้ายที่สุด ด้วยจิตสำนึกของความเป็นแม่ เธอก็เลือกที่จะปล่อยให้ลูกไป โดยที่เธอจะยังคอยอยู่ใกล้ๆ ในจุดที่ลูกจะสามารถพบเธอได้เสมอที่บ้านกลางป่าหลังเล็กของเธอ
หลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว แน่นอนว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีเรื่องราวที่สวยงามน่าประทับใจมากมาย โดยเฉพาะฉากที อาเมะ ตัดสินใจที่จะจากไปพร้อมกับรอยยิ้มและสายตาของฮานะผู้เป็นแม่ซึ่งส่งออกไป ด้วยความรักและความห่วงใย และฉากที่ผู้เป็นแม่เฝ้าฟังเสียงของลูกชาย ที่อยู่ห่างไกลด้วยความรู้สึกยินดี และใบหน้าเปี่ยมสุขกับวันที่ลูกสาวอย่างยูกิสำเร็จการศึกษา ผู้เขียนมั่นใจว่าหลายๆคนจะประทับใจเกี่ยวกับเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบ ครัวแบบนี้ และแนะนำให้หลายๆคนได้ดูเพราะถ้าวันหนึ่งคุณได้กลายเป็น พ่อหรือแม่คนเมื่อไหร่ วันที่คุณจะต้องเฝ้ามองเส้นทางที่เค้าเลือกนั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน และในบางครั้งเส้นทางที่เค้าเลือกอาจจะไม่ถูกใจคุณ แต่ถ้ามันคือความสุขและความต้องการของลูกคุณคุณจะทำอย่างไร จะยื้อไว้หรือจะปล่อยไปโดยใช้สัญชาตญาณและอนาคตเป็นเครื่องนำทาง ...
ไม่ได้เขียนอะไรยาวๆแบบนี้สักพักแล้ว เป็นงานที่ทำแล้วเพลิดเพลินจริงๆ หวังว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านจะชอบกันนะคะ หรือใครมีอะไรจะแนะนำหรือเสนอมุมมองใหม่ๆก็เข้ามาลองคุยกันได้ค่ะ
(Spoil)ถ้าใครไม่ต้องการทราบเนื้อเรื่องล่วงหน้ากรุณาข้ามส่วนนี้ไป
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นเมื่อ“เขา” ผู้เป็นทั้งสามีและพ่อของลูกได้จากไปอย่างกะทันหัน ทำให้ฮานะ ต้องรับบทบาทในการเป็นsingle mom ที่ ต้องเลี้ยงลูกน้อยทั้งสองคนเพียงลำพัง ซึ่งในระหว่างนั้นปัญหาต่างๆก็ได้ถาโถมเข้ามาอย่างหนักทั้งปัญหาด้านการเงิน และเพราะการที่เด็กทั้งสองเป็น “เด็กพิเศษ” ทำ ให้การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่เป็นเรื่องยากลำบากและในที่สุด ฮานะ ก็ตัดสินใจพาลูกน้อยทั้งสองไปใช้ชีวิตที่ชนบทอันห่างใกลเพื่อปกปิดความลับ เรื่องที่ลูกน้อยทั้งสองของเธอก็ได้รับสายเลือดของความเป็นมนุษย์หมาป่ามา ด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ห้อมล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าป่าเขา ที่นั่นเธอต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ทั้งหมดและด้วยความช่วย เหลือของคนในท้องถิ่นในที่สุดเธอก็สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมชนบทได้ และเมื่อวันเวลาผ่านไปเด็กน้อยทั้งสองก็ได้เติบโตขึ้นโดยที่ยูกิเติบโตเป็น เด็กหญิงที่มีนิสัยสดใสร่าเริง ผิดกับอาเมะที่ค่อนข้างจะเป็นคนขี้กลัวและเงียบขรึม
ในฤดูหนาววันหนึ่งขณะที่ ฮานะ ยูกิ และอาเมะ ออกไปวิ่งเล่นชมหิมะที่ชายป่า อาเมะก็ได้ประสบอุบัติเหตุตกลงไปในแม่น้ำแต่เคราะห์ดีที่ยูกิเข้าช่วยเหลือ ได้ทันเวลาและหลังจากวันนั้นอาเมะก็ได้เปลี่ยนไป จากที่เคยกลัวและสับสนในสภาพลูกครึ่งหมาป่าของตนเองกลายเป็นมีความกล้าที่จะ ยอมรับสภาพที่ตนเป็นและเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในแบบของหมาป่า ผิดกับ ยูกิ ที่เมื่อเริ่มเติบโตเป็นหญิงสาวกลับเริ่มรู้สึกอายสภาพพิเศษของตัวเองและ เลือกที่จะปกปิดมันไว้จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเผลอไปทำร้ายเพื่อนร่วมชั้นทำให้ เธอตัดสินใจที่จะไม่ยอมเปิดเผยสภาพหมาป่าอีกในที่สุด
ท้ายที่ สุดจุดพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิตของฮานะก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อ ลูกชายของเธอ ตัดสินใจที่จะเลือกใช้ชีวิตตามวิถีของหมาป่าซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอกลัวมา ตลอด ในและวันที่เขาตัดสินใจที่จะเข้าไปใช้ชีวิตในพงไพรเธอตัดสินใจเข้าไปตามหา เขาในป่าเพื่อหยุดยั้งเขา แต่ในท้ายที่สุดเมื่อนั่นเป็นการตัดสินใจของลูก เธอก็ตัดสินใจปล่อยให้ลูกชายของเธอใช้ชีวิตในแบบที่เขาต้องการและส่งเขาไป ด้วยรอยยิ้ม ส่วนยูกิเธอก็เลือกใช้ชีวิตในแบบของมนุษย์ โดยที่เริ่มต้นชีวิตในการเป็นเด็กสาวมัธยมและย้ายออกจากบ้านไป ในขณะที่แม่ของเธอยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่ชนบทและเฝ้ามองการใช้ชีวิต ตามเส้นทางที่ลูกทั้งสองของเธอได้เลือกด้วยความรักต่อไป
Wolf Children เดินเรื่องโดยผ่านตัวละครหลัก 3 คน ซึ่งก็ค่อนข้างเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามสไตล์ที่เราจะสามารถพบได้บ่อยๆทั้งใน ภาพยนตร์และการ์ตูนของญี่ปุ่น ถึงจะมีเรื่องราวของความเป็นแฟนตาซีอยู่บ้าง แต่โดยแกนหลักของเรื่องแล้วเน้นไปที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของครอบครัว
เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตแบบ Single mom ของฮานะ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกของตนนั้นเป็น “เด็กพิเศษ” ในตอนต้นเรื่องนั้นฮานะ เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ในเรื่องไม่ได้บอกต่อว่าเมื่อเธอตัดสินใจเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับ “เขา” นั้นเธอยังศึกษาต่อหรือจบการศึกษาแล้ว ซึ่งมันสะท้อนภาพสังคมของญี่ปุ่นซึ่งตัวผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจได้ ถูกต้องรึเปล่า แต่จากที่เห็นจากทั้งซีรี่ย์ ภาพยนตร์และการ์ตูนที่มาจากประเทศนี้บทบาทของผู้หญิงส่วนมากเมื่อตกลงปลงใจ ที่จะเริ่มชีวิตคู่แล้ว มักจะผันตัวเองมาทำหน้าที่อยู่กับบ้านเพื่อดูแลครอบครัว ซึ่งการที่ทั้งคู่ตัดสินใจเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่เมื่ออายุยังน้อย และมีลูกในเวลาอันรวดเร็วนั้น คงจะบอกไม่ได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือผิดแต่เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาด ฝันอย่างการจากไปอย่างกะทันหันของ “เขา” นั้นส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดกับการดำเนินชีวิตของตัวฮานะและลูกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเศรษฐกิจและสถานะความเป็นเด็กพิเศษเฉกเช่นเดียวกับ “เขา” แน่นอนว่าเธอยังไม่ได้รู้จักเขามากพอ เพราะทั้งเรื่องเราจะได้ยินฮานะย้ำตลอดว่าเธอไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับการ ใช้ชีวิตที่ผ่านมาของ “เขา” เลย การที่จะเลี้ยงดูลูกทั้งสองให้เติบโตขึ้นมาในแบบที่ควรจะเป็นได้นั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการลองผิดลองถูกและใช้สัญชาตญาณแห่งความเป็นแม่ล้วนๆ
เรื่องราวดำเนินผ่านไปด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ในการทำหน้าที่แม่ของฮา นะและความช่วยเหลือของหลายๆคน ทำให้ในที่สุดเธอก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาและได้ใช้ชีวิตกับลูกๆ อย่างสงบสุขได้ เหตุการณ์กลับพลิกผันอีกครั้งเมื่อลูกน้อยทั้งสองเติบใหญ่ขึ้นและเริ่มที่จะ ตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางชีวิตของตนเอง ในกรณีของยูกินั้นเธอเลือกที่จะใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ ด้วยหลายปัจจัยดังที่ปรากฎในเรื่อง ซึ่งแม่ของเธอก็เห็นด้วยเพราะว่าโลกที่ยูกิเลือกนั้นเป็นโลกที่ฮานะผู้เป็น แม่นั้นรู้จักดี
ต่างจากกรณีของ อาเมะ ที่เลือกที่จะใช้ชีวิตเยี่ยงหมาป่า ซึ่งผู้เป็นแม่ได้พยายามที่จะขอร้องในทุกทางเพื่อให้เขาอยู่ในโลกของเธอ โลกที่เธอรู้จัก โลกที่สามารถดูแลและปกป้องเขาได้ ต่อไปแต่ในท้ายที่สุด เมื่อถึงเวลาที่เรียกว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต อาเมะ ตัดสินใจที่จะก้าวไปตามเส้นทางที่ตัวเองเลือก ตัวฮานะ พยามยามที่จะยื้อแต่ในท้ายที่สุด ด้วยจิตสำนึกของความเป็นแม่ เธอก็เลือกที่จะปล่อยให้ลูกไป โดยที่เธอจะยังคอยอยู่ใกล้ๆ ในจุดที่ลูกจะสามารถพบเธอได้เสมอที่บ้านกลางป่าหลังเล็กของเธอ
หลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว แน่นอนว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีเรื่องราวที่สวยงามน่าประทับใจมากมาย โดยเฉพาะฉากที อาเมะ ตัดสินใจที่จะจากไปพร้อมกับรอยยิ้มและสายตาของฮานะผู้เป็นแม่ซึ่งส่งออกไป ด้วยความรักและความห่วงใย และฉากที่ผู้เป็นแม่เฝ้าฟังเสียงของลูกชาย ที่อยู่ห่างไกลด้วยความรู้สึกยินดี และใบหน้าเปี่ยมสุขกับวันที่ลูกสาวอย่างยูกิสำเร็จการศึกษา ผู้เขียนมั่นใจว่าหลายๆคนจะประทับใจเกี่ยวกับเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบ ครัวแบบนี้ และแนะนำให้หลายๆคนได้ดูเพราะถ้าวันหนึ่งคุณได้กลายเป็น พ่อหรือแม่คนเมื่อไหร่ วันที่คุณจะต้องเฝ้ามองเส้นทางที่เค้าเลือกนั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน และในบางครั้งเส้นทางที่เค้าเลือกอาจจะไม่ถูกใจคุณ แต่ถ้ามันคือความสุขและความต้องการของลูกคุณคุณจะทำอย่างไร จะยื้อไว้หรือจะปล่อยไปโดยใช้สัญชาตญาณและอนาคตเป็นเครื่องนำทาง ...
ไม่ได้เขียนอะไรยาวๆแบบนี้สักพักแล้ว เป็นงานที่ทำแล้วเพลิดเพลินจริงๆ หวังว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านจะชอบกันนะคะ หรือใครมีอะไรจะแนะนำหรือเสนอมุมมองใหม่ๆก็เข้ามาลองคุยกันได้ค่ะ
"Truly Madly Deeply" by SAVAGE GARDEN (แปลเพลง)
"Truly Madly Deeply" by SAVAGE GARDEN
I'll be your dream
I'll be your wish I'll be your fantasy
I'll be your hope I'll be your love
Be everything that you need
I'll love you more with every breath
Truly, madly, deeply do
I will be strong I will be faithful
'cause I'm counting on
A new beginning . A reason for living
A deeper meaning, yeah
ฉันจะเป็นความฝันของคุณ
ฉันจะเป็นสิ่งที่คุณขอ, ฉันจะเป็นโลกแฟนตาซีของคุณ
ฉันจะเป็นความหวัง, ฉันจะเป็นความรักของคุณ
ฉันจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการฉันจะรักคุณมากกว่าทุกลมหายใจ
จริงใจ, หลงใหล , ลึกล้ำ
ฉันจะเข้มแข็ง, ฉันจะเชื่อมั่นเพราะสิ่งที่มีค่ากำลังจะเกิดขึ้นสิ่งใหม่ๆกำลังจะเกิด เหตุผลสำหรับการคงอยู่ความหมายมันลึกล้ำ
I want to stand with you on a mountain
I want to bathe with you in the sea
I want to lay like this forever
Until the sky falls down on me
ฉันอยากจะยืนอยู่ข้างคุณบนภูเขาฉันอยากจะเล่นน้ำกับคุณที่ทะเล
ฉันอยากจะอยู่กับคุณแบบนี้ตลอดไปจนกว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมาที่ฉัน
And when the stars are shining
brightly in the velvet sky,
I'll make a wish send it to heaven
Then make you want to cry
The tears of joy for all the pleasure and the certainty
That we're surrounded by the comfort and protection of
The highest powers .
เมื่อดวงดาวทั้งหลายส่องแสงเปล่งประกายบนท้องฟ้าที่นุ่มนวลฉันจะขอพรส่งมาจากสวรรค์ครั้งนั้นทำคุณอยากร้องให้น้ำตาแห่งความสุขนั้นและทุกอย่างคือความสุขของฉันและแน่นอน
มันทำให้เราถูกห้อมล้อมโดยความสุขและถูกปกป้องโดยพลังที่สูงส่ง........
In lonely hoursThe tears devour you
Oh can you see it baby?
You don't have to close your eyes
'Cause it's standing right before you
All that you need will surely come
ในชั่วโมงที่คุณเหงา น้ำตาที่หลังไหลของคุณคุณเห็นมันไหมที่รัก คุณไม่ได้ปิดตาของคุณเพราะมันอยู่ที่นี่ ตรงหน้าคุณ
แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการกำลังจะมา
I'll be your dream I'll be your wish
I'll be your fantasy
I'll be your hope I'll be your love
Be everything that you need
I'll love you more with every breath
Truly, madly, deeply do
ฉันจะเป็นความฝันของคุณ
ฉันจะเป็นสิ่งที่คุณขอ, ฉันจะเป็นโลกแฟนตาซีของคุณ
ฉันจะเป็นความหวัง, ฉันจะเป็นความรักของคุณ
ฉันจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการฉันจะรักคุณมากกว่าทุกลมหายใจ
จริงใจ, หลงใหล , ลึกล้ำ
I want to stand with you on a mountain
I want to bathe with you in the sea
I want to live like this forever
Until the sky falls down on me
ฉันอยากจะยืนอยู่ข้างคุณบนภูเขาฉันอยากจะเล่นน้ำกับคุณที่ทะเล
ฉันอยากจะอยู่กับคุณแบบนี้ตลอดไปจนกว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมาที่ฉัน
.......................................................................................
ส่วนตัวชอบเพลงนี้และ SAVAGE GARDEN มานานมาก แล้วเพลงนี้ก็เป็นเพลงเก่า
ที่ฟังมานานหลายปีและชอบความหมายของเพลงนี้มากแต่ก็ยังมีหลายๆจุดที่ไม่เข้าใจเพราะ
ภาษาอังกฤษอันอ่อนด้อยของตัวเอง แต่พอได้มาลองแปลอย่างจริงจังถึงได้เข้าใจ
อย่างลึกซึ้งถึงภาษาที่สวยงามมาก เต็มไปด้วยพลังความรักที่อบอวลไปทั้งเพลง
เหมาะสำหรับที่จะส่งต่อความหมายดีๆของเพลงนี้ให้กับใครสักคนที่คุณรัก...
งานแปลนี้เป็นงานแปลเพลงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก หากผิดพลาดตรงไหน
หรือท่านใดมีคำแนะนำ ติติงก็เชิญได้เลยนะคะ เพราะอยากจะฝึกภาษาอังกฤษของตัวเองให้ดีขึ้น
ขอบคุณล่วงหน้าเลยค่ะ
ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงนะคะ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ
Ann...
ปล. นานๆจะได้เขียนอะไรยาวๆมันค่อนข้างทำให้เกิดความรู้สึกสงบ
ปล.2 ตั้งใจว่าจากนี้จะลองแปลมาลงบ่อยๆ แต่คงจะไม่เน้นเพลงใหม่เน้นที่ตัวเองชอบเป็นหลัก 555
ชม MV ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=WQnAxOQxQIU
I'll be your dream
I'll be your wish I'll be your fantasy
I'll be your hope I'll be your love
Be everything that you need
I'll love you more with every breath
Truly, madly, deeply do
I will be strong I will be faithful
'cause I'm counting on
A new beginning . A reason for living
A deeper meaning, yeah
ฉันจะเป็นความฝันของคุณ
ฉันจะเป็นสิ่งที่คุณขอ, ฉันจะเป็นโลกแฟนตาซีของคุณ
ฉันจะเป็นความหวัง, ฉันจะเป็นความรักของคุณ
ฉันจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการฉันจะรักคุณมากกว่าทุกลมหายใจ
จริงใจ, หลงใหล , ลึกล้ำ
ฉันจะเข้มแข็ง, ฉันจะเชื่อมั่นเพราะสิ่งที่มีค่ากำลังจะเกิดขึ้นสิ่งใหม่ๆกำลังจะเกิด เหตุผลสำหรับการคงอยู่ความหมายมันลึกล้ำ
I want to stand with you on a mountain
I want to bathe with you in the sea
I want to lay like this forever
Until the sky falls down on me
ฉันอยากจะยืนอยู่ข้างคุณบนภูเขาฉันอยากจะเล่นน้ำกับคุณที่ทะเล
ฉันอยากจะอยู่กับคุณแบบนี้ตลอดไปจนกว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมาที่ฉัน
And when the stars are shining
brightly in the velvet sky,
I'll make a wish send it to heaven
Then make you want to cry
The tears of joy for all the pleasure and the certainty
That we're surrounded by the comfort and protection of
The highest powers .
เมื่อดวงดาวทั้งหลายส่องแสงเปล่งประกายบนท้องฟ้าที่นุ่มนวลฉันจะขอพรส่งมาจากสวรรค์ครั้งนั้นทำคุณอยากร้องให้น้ำตาแห่งความสุขนั้นและทุกอย่างคือความสุขของฉันและแน่นอน
มันทำให้เราถูกห้อมล้อมโดยความสุขและถูกปกป้องโดยพลังที่สูงส่ง........
In lonely hoursThe tears devour you
Oh can you see it baby?
You don't have to close your eyes
'Cause it's standing right before you
All that you need will surely come
ในชั่วโมงที่คุณเหงา น้ำตาที่หลังไหลของคุณคุณเห็นมันไหมที่รัก คุณไม่ได้ปิดตาของคุณเพราะมันอยู่ที่นี่ ตรงหน้าคุณ
แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการกำลังจะมา
I'll be your dream I'll be your wish
I'll be your fantasy
I'll be your hope I'll be your love
Be everything that you need
I'll love you more with every breath
Truly, madly, deeply do
ฉันจะเป็นความฝันของคุณ
ฉันจะเป็นสิ่งที่คุณขอ, ฉันจะเป็นโลกแฟนตาซีของคุณ
ฉันจะเป็นความหวัง, ฉันจะเป็นความรักของคุณ
ฉันจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการฉันจะรักคุณมากกว่าทุกลมหายใจ
จริงใจ, หลงใหล , ลึกล้ำ
I want to stand with you on a mountain
I want to bathe with you in the sea
I want to live like this forever
Until the sky falls down on me
ฉันอยากจะยืนอยู่ข้างคุณบนภูเขาฉันอยากจะเล่นน้ำกับคุณที่ทะเล
ฉันอยากจะอยู่กับคุณแบบนี้ตลอดไปจนกว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมาที่ฉัน
.......................................................................................
ส่วนตัวชอบเพลงนี้และ SAVAGE GARDEN มานานมาก แล้วเพลงนี้ก็เป็นเพลงเก่า
ที่ฟังมานานหลายปีและชอบความหมายของเพลงนี้มากแต่ก็ยังมีหลายๆจุดที่ไม่เข้าใจเพราะ
ภาษาอังกฤษอันอ่อนด้อยของตัวเอง แต่พอได้มาลองแปลอย่างจริงจังถึงได้เข้าใจ
อย่างลึกซึ้งถึงภาษาที่สวยงามมาก เต็มไปด้วยพลังความรักที่อบอวลไปทั้งเพลง
เหมาะสำหรับที่จะส่งต่อความหมายดีๆของเพลงนี้ให้กับใครสักคนที่คุณรัก...
งานแปลนี้เป็นงานแปลเพลงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก หากผิดพลาดตรงไหน
หรือท่านใดมีคำแนะนำ ติติงก็เชิญได้เลยนะคะ เพราะอยากจะฝึกภาษาอังกฤษของตัวเองให้ดีขึ้น
ขอบคุณล่วงหน้าเลยค่ะ
ขอให้มีความสุขกับการฟังเพลงนะคะ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ
Ann...
ปล. นานๆจะได้เขียนอะไรยาวๆมันค่อนข้างทำให้เกิดความรู้สึกสงบ
ปล.2 ตั้งใจว่าจากนี้จะลองแปลมาลงบ่อยๆ แต่คงจะไม่เน้นเพลงใหม่เน้นที่ตัวเองชอบเป็นหลัก 555
ชม MV ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=WQnAxOQxQIU
ป้ายกำกับ:
แปลเพลง,
SAVAGE GARDEN,
Truly Madly Deeply
ตำแหน่ง:
Bangkok, Thailand
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)