วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

เขียนไปเรื่อยเปื่อย ตอน "ชาวนากับพ่อค้าคนกลาง จากมุมมองบ้านๆของดิชั้น”



ตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะลองเขียนอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันกับเค้าบ้างอะไร บ้าง แต่ก็นั่งคิดนอนคิด(เกือบจะ)ตีลังกาคิดมา 38 ตลบคิด ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี จะเอาเรื่องการเมืองจ๋าแบบเมื่อก่อนก็คงไม่ไหวเครียดเกิน(แต่จริงๆแล้ว รู้สึกว่าตัวเองยังไม่เข้าใจกระจ่างมากนักกับเรื่องนี้) ในที่สุดก็ตกร่องป่องชิ้น กับข่าวบ้านๆนี่แหละ สังคม การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม อาจจะมีแอบการเมือง (นิดๆ ) หนังสือ (หน่อยๆ) บลา บลา บลา  แต่เปล่าๆ อย่าได้หวังข้อมูลที่อ้างอิงได้หรือเนื้อหาสาระอะไรกับสิ่งที่ ดิชั้นจะเขียนมากนัก เพราะจะเป็นเรื่องที่มองในมุมมองของคนวงนอกแบบชาวบ้านตาแดงๆ เอ้ย! ดำๆ มองสิ่งที่กำลังเป็นไปในสังคมและความสนใจในเรื่องนั้นๆส่วนตัวซะมากกว่าค่ะ ^^

เกริ่นกันมาซะนาน เอาๆมาเข้าเรื่องกันล่ะ ไอ้ที่จะเขียนเป็นเรื่องแรกนี้ ก็จะเป็นเรื่องใกล้ตัว(ดิชั้น)นี่แหละ เมื่อเช้าบังเอิญได้ดูรายการเกี่ยวกับเศรษฐกิจรายการหนึ่งทางช่องฟรีทีวี  เค้าพูดถึงเรื่องการส่งออกข้าวไทย ประมาณว่าตอนนี้ราคาข้าวส่งออกของเราสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ( ประเทศอะไรบ้างและสูงกว่าเท่าไหร่อันนี้จำไม่ได้จริงๆค่ะ เพราะที่ออฟฟิศเค้าเปิดไว้เรากำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเงยหน้าขึ้นมาเค้ากำลัง พูดเรื่องนี้พอดี ) ว่าด้วยความต้องการของพ่อค้าคนกลางที่ผกผันไปคนละทางกับชาวนา จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เข้าใจได้นะคะ ว่าในมุมมองของพ่อค้าก็อยากซื้อถูกขายได้แพงๆส่วนชาวนาก็อยากจะขายข้าวได้ ราคาดีๆ ( มันปลูกยากต้องลงแรงลงทุน ปุ๋ยเอย ยากำจัดศัตรูข้าว มากมายจริงอะไรจริงฟันเฟิร์มได้จากประสบการณ์ตรง ) แล้วคราวนี้เมื่อเอาข้าวไปขายในตลาดโลกก็อาจจะทำให้ ข้าวไทยส่งออกได้น้อยลงเพราะราคาแพงกว่าคู่แข่ง สรุปฟังๆดูแล้วคุณๆพ่อค้าทั้งหลายก็อยากจะกดราคาข้าว เอ้ย! ขอรับซื้อในราคาที่ถูกลงนั่นแหละ

ความคิดแรกในหัวคืออยากให้ รัฐยกเลิกระบบพ่อค้าคนกลางแล้วเข้ามาดูแลส่วนนี้แบบเต็มรูปแบบจะได้สิ้น เรื่องสิ้นราว แต่พอมานั่งนึกอีกที ถ้าเอาแบบนั้นมันออกจะดูเผด็จการแบบผูกขาดเกินไปหน่อย แถมงานนี้อาจจะมี ข.ร.ก หรือ นักการเมืองบางคนอ้วนพีกันบนหลังของชาวนา  (ที่ยังจนเหมือนเดิม) จากการคอรัปชั่นปัญหาสุดคลาสสิกของแว่นแคว้นแดนสยาม (ขนาดเข้ามาอย่างไม่เต็มร้อย ข้าวที่รับจำนำมายังมีหายไปจากโกดังบ้างอะไรบ้างเล๊ยย )  อย่างน้อยๆการที่มีพ่อค้าคนกลางมันยังได้มีการพูดจาต่อรองราคาระหว่างผู้ ซื้อและผู้ขายกันได้ซึ่งมันก็เป็นไปตามกลไกการตลาดภายใต้ระบบทุนนิยม ( อย่าทำเป็นรับไม่ได้น่า  ถ้าไม่ยึดกับโลกแห่งความฝันมากเกินไปคุณจะเข้าใจว่าทุกวันนี้โลกมันเดินไป ด้วยระบบนี้กันทั้งน้านนนน )

แต่ในข้อดีมันก็ย่อมมีข้อเสีย มันเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเพราะพ่อค้าก็คือพ่อค้า อยู่วันยังค่ำ ไม่มีใครอยากซื้อของแพงๆไปขายหรอก แต่มันมากไปไหมที่จะต้องกดมันลงไปจนถึงขีดล่างของเพดานราคาที่จะกดได้ ก็เข้าใจว่าทำธุรกิจมันต้องมีค่าการทำเอกสาร ค่าการดำเนินการ ค่าขนส่ง ค่าคอนเนคชั่นโน่นนี่นั่น ( ไม่รวมค่าน้ำร้อนน้ำชาผู้หลักผู้ใหญ่ ที่ถึงจะไม่เคยเห็น แต่ส่วนตัวส่วนตัวคิดว่ามี อิอิ ) แต่เท่าที่ดูๆแล้วนี่น่าจะได้กำไรมากโขอยู่นะคะ ยิ่งพวกที่ส่งออกนอกได้ข่าวว่าข้าวไทยในต่างแดนนี่ราคาแพงเอาเรื่องทีเดียว  แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พออกพอใจของคุณๆทั้งหลายสักเท่าไหร่ ขนาดได้ยินว่ามีสมาคมผู้ค้าข้าว( ส่วนตัวเข้าใจว่าน่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่ทำเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ )  แทนที่นอกจากจะช่วยดูแลการตลาด ก็อยากให้ช่วยนึกถึงชาวนาบ้าง ทุกวันนี้กำรี้กำไรท่านๆทั้งหลายก็คงกินไม่หมดกันแล้วในชาตินี้ ข้าวของก็แพงขึ้นทุกวัน ปุ๋ยเอยอะไรเอย (  อย่าบอกว่าให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือใช้สารจากธรรมชาติในการกำจัดศัตรูพืช เพราะนี่เป็นจุดบอดจุดหนึ่งของกระทรวงเกษตรที่ไม่สามารถทำให้ความรู้เรื่อง พวกนี้กระจายเข้าถึงทุกระดับ ขาดการสนับสนุนหรือเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง  อันนี้พูดจาด ความเห็น ส่วนตัวเพราะตลอดชีวิตที่เติบโตจากบ้านนอกคอกนา ไม่เค๊ยยย ไม่เคยเห็นคนของกระทรวงเกษตรเข้าไปแนะนำอะไรเลย เห็นแต่บริษัทปุ๋ย บริษัทยานั่นแหละ วนเวียนมากันทุกปี แล้วจะมาคาดหวังให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดไปใช้แบบนั้นคิดว่าว่ามันน่าจะ ยากอยู่ )

ดิชั้นว่าบางครั้งถ้าคุณพ่อค้ายอมที่จะกำไรน้อยลง สักนิด ให้ราคาข้าวสูงๆสักหน่อยแบบนี้มันน่าจะโอเคกว่านะคะ อย่างน้อยก็พอที่จะให้เค้าได้ดำรงชีวิตตัวเองได้โดยไม่เดือดร้อนมีเงินมีทอง ส่งลูกเรียนหนังสือไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใครเขามา ตั้งแต่เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองกรุงนี่หลายครั้งทีเดียวเลยค่ะที่ได้ยินบางคน พูดว่า ชาวนาโง่ ไม่มีการศึกษา ไม่รู้จักพอ ยิ่งในช่วงที่มีกองทุนหมู่บ้านหลายๆคนไปกู้มาออกรถมอเตอร์ไซด์บ้าง ซื้อโทรศัพท์บ้าง ก็ไปหาว่าเค้าใช้ของเกินตัว ซึ่งมันก็จริงค่ะบางอย่างมันก็อาจจะเกินตัวไปบ้างแต่ชาวนาก็คือคนธรรมดานี่ แหละ บางครั้งก็อยากมีอยากได้บ้าง แล้วอย่างที่เค้าซื้อมอเตอร์ไซด์ส่วนใหญ่เขาก็ได้ใช้ประโยชน์จากมันทั้งนั้น เวลาไม่สบายหรือต้องไปทำธุระ ก็สะดวกสบายขึ้น ชีวิตตามชนบท(จริงๆ) มันไม่ได้ง่ายเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เอ้ย !!! ไม่ใช่ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะคะ รถมงรถเมล์วันนึงจะมีสักกี่เที่ยว แท็กซี่ก็ไม่มี เซเว่นก็ไม่มี ( เกี่ยวกันมั้ย 55 ) ถ้าพูดถึงเรื่องการรักษาพยาบาลยิ่งไม่ต้องพูดถึง สาธารณสุขประจำตำบลมีแต่พยาบาล ไปหาทีก็ได้แต่ยาแก้ปวด ถ้าเป็นอะไรที่มากกว่านั้นก็ต้องเข้าเมืองกันล่ะค่ะ ซึ่งรถมอเตอร์ไซด์ก็ช่วยได้มากในส่วนนี้ แต่ก็ยอมรับว่ามีบางคนที่เอาไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม แล้วยังไงละคะทุกสังคมมันก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดีทั้งนั้น เพียงแต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นคนแย่ๆเท่านั้นเอง  อย่างเรื่องมือถือนี่มันก็ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นการติดต่อสื่อสารสมัยนี้มัน สำคัญจะมากขนาดไหนคิดว่าทุกคนคงรู้ไม่ต้องอธิบายกันให้เวิ่นเว้อจริงมั้ย ^^ ( จริงๆแล้วยิ่งเขียนชักจะเริ่มออกทะเลไปไกลแล้วค่ะ ไว้มีโอกาส (ขยัน ? ) คงได้พูดกันถึงเรื่องทำนองนี้แบบเต็มๆ เนื้อๆ จัดหนักกันเลย)

สรุป แล้ว ( ยังกะเขียนเรียงความ 55 ) เรื่องแบบนี้มันจะไปใช้หลักการหรือกฎหมายจัดๆบังคับมันดูจะยากอยู่สักหน่อย (จริงๆอาจจะมีทาง  แต่ดิชั้นไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย ) หรือถ้ากระทรวงพาณิชย์มีอำนาจก็อยากจะให้เข้ามาดูแลจุดนี้สักนิด นอกจากนั้นก็อยากจะให้คำนึงถึงมนุษยธรรม ด้านฝ่ายพ่อค้าอย่าลืมว่าคุณไม่ได้ปลูกข้าวเองนะคะ คุณยังต้องพึ่งพาชาวนาอยู่ ค่อยๆลองเจรจาหาจุดที่ทั้งสองฝ่ายรับได้ ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ค่ะ หลายๆคนบอกอยากเห็นประเทศชาติเจริญ ดิชั้นว่าเริ่มจากเรื่องนี้น่าจะดีนะคะ เพราะอย่างไรการทำนาก็ได้ชื่อว่าเป็นอาชีพหลักของคนประเทศเราอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมให้ ชาวนา มีการศึกษามีความรู้ความเข้าใจวิธีการทำการเกษตรน่าจะช่วยให้สามารถปรับปรุง รวมทั้งพัฒนาคุณภาพของผลผลิตให้ดียิ่งขึ้น ชาวนาใช่จะมีความรู้ไม่ได้นะคะ ถ้าเราดูประเทศที่เจริญแล้ว หลายคนที่เรียนสูงๆแต่เค้าเลือกที่จะยึดอาชีพนี้เพราะความรักในงาน ซึ่งนั่นจะทำให้ได้ข้าวที่มีคุณภาพ  พ่อค้าที่รับไปขายต่อก็ขายได้ราคาดี ของมีคุณภาพยังไงก็เป็นที่ต้องการของตลาดค่ะ โดยเฉพาะข้าวไทยซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความหอมอร่อย ก็ได้แต่คาดหวังว่าในช่วงชีวิตของดิชั้นจะได้เห็นคนที่ยึดอาชีพนี้มีความมี เป็นอยู่และคุณภาพในการใช้ชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ถ้าเราอยากก้าวออกผ่านออกจากคำว่าประเทศที่ กำลังพัฒนาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ว่าจะมีอาชีพอะไรหรือฐานะอย่างไรเราทุกคนจะต้องช่วยกันแล้วค่อยๆก้าวผ่าน มันไปพร้อมๆกันค่ะ


ปล.1 หากใครมีความเห็นอย่างไร หรือ ต้องการจะท้วงติงส่วนไหนจัดมาได้เลยนะคะ เพราะอย่างที่บอกไปตอนต้นว่าเขียนจากมุมมองแบบ บ้านๆ ของตัวเอง

ปล.2 อ่านไปแล้วรู้สึกแหม่งๆในบางจุดหวังว่าเขียนบ่อยๆน่าจะช่วยพัฒนาให้เขียนได้ขึ้นนะ








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น