เราคงต้องยอมรับกันว่าตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเต็มไปด้วยห้างค้าปลีก ทั้งขนาดเล็ก , กลาง และขนาดใหญ่ของชาวต่างชาติที่แข่งกันผุดขึ้นมายิ่งกว่าดอกเห็ดซึ่ง
“ปรากฏการณ์” นี้หาได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะสังคมเมืองเท่านั้นยังระบาดหนักไปถึงต่างจังหวัด ไม่เว้นกระทั่งระดับอำเภออีกด้วย
แต่ปรากฏการณ์ที่แปลกไปกว่า นั้นก็คือบรรดาห้างค้าปลีกต่างชาติทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็ไม่เห็นมีสักห้าง ที่ต้องล้มเลิกกิจการทั้งที่แทบจะมีอยู่ทุกซอกทุกมุมของประเทศไทย
ทำ ให้เกิดคำถามที่ตามมาว่าเจ้าถิ่นอย่าง “ร้านโชว์ห่วย” มีอะไรที่ไม่ดีหรือสู้กับห้างค้าปลีกของชาวต่างชาติไม่ไก้ตรงไหนถึง ต้องทยอยปิดตัวลงเรื่อยๆ ตามอัตราการขยายตัวของฝ่ายตรงข้ามที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
ใน หลายแง่มุมที่บรรดาเจ้าของกิจการ “ร้านโชว์ห่วย” ของไทยจะต้องยอมรับคือมาตรฐานของห้างค้าปลีกต่างชาติไม่ว่าจะเป็นด้านราคา คุณภาพของสินค้า ด้านการให้บริการ รวมทั้ง โปรโมชั่นต่างๆที่มีออกมาเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดเรียกได้ว่าทำออกมา อยู่ในระดับที่สมบูรณ์เกือบจะ 100 % ในขณะที่ “ร้านโชว์ห่วย” มักจะมีปัญหาเช่นราคาที่แพงกว่า บรรยากาศที่อาจจะไม่น่าอภิรมย์เท่า เพราะงบประมาณในการก่อตั้งกิจการที่แตกต่างกันลิบลับ
แต่มี สิ่งหนึ่งที่ห้างค้าปลีกจากต่างชาติไม่สามารถลอกเลียนแบบร้านโชว์ห่วยได้เลย ก็คือการเป็นส่วนหนึ่งในเอกลักษณ์ของความเป็นไทยเพราะร้านค้าประเภทนี้เป็น สิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมานานและเป็นที่คุ้นเคยต่อสังคมบ้านเรามาตลอด อยากให้ลองนึกภาพของสังคมไทยย้อนไปสัก 20 ปีที่แล้วก่อนที่จะมีห้างค้าปลีกจากต่างชาติเข้ามาระบาดในไทยนั้น ก็จะมีเพียงร้านโชว์ห่วยที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่จับจ่ายใช้สอย แต่ยังรวมไปถึงสถานที่พบปะชุมนุมเพื่อร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆของคนในชุมชน ซึ่งภาพเหล่านี้หาไม่ได้เลยจากบรรดาห้างค้าปลีกจากต่างชาติเจ้าของ “ลัทธิทุนนิยม” ที่กำลังพยายามเข้ามาบุกรุกและกลืนกินวัฒนธรรมไทยที่มีค่าไปอย่างช้าๆ
การ ที่ประเทศไทยยอมให้มีการเข้ามาลงทุนในลักษณะห้างค้าปลีกจากชาวต่างชาติ หรือในลักษณะอื่นๆนั้น ก็ถือว่าไม่ผิดเพราะโลกในยุคนี้แทบจะถูก “ลัทธิทุนนิยม” เข้ามาครอบงำประเพณีหรือวัฒนธรรมของของแต่ละชนชาติอยู่แล้ว แต่ภาครัฐเองก็ควรที่จะให้การสนับสนุนกับกิจการของคนภายในประเทศด้วยไม่ใช่ สักแต่อยากได้เงินลงทุนจากต่างชาติ ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าการที่ปล่อยให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าคนไทย จะได้ประโยชน์ในระยะยาวแต่กลับเป็นนักลงทุนต่างหากที่เข้ามากอบโกยเงิน ทองออกจากประเทศชาติอย่างไม่จบสิ้น
ปัญหาห้างค้าปลีกจากชาว ต่างชาติถือว่าเป็นเพียงบางส่วนของปัญหาจากการเข้ามาลงทุนทางธุรกิจจากภาย นอกประเทศ เลยอยากจะฝากถึง “ผู้มีอำนาจ” ทั้งในปัจจุบันและอนาคตว่าบางครั้งการที่คำนึงถึงแต่ตัวเลขทางการเงินเพียง อย่างเดียว มันก็ไม่ใช่วิธีที่จะทำให้คนภายในประเทศกินดีอยู่ดีได้ แต่อยากให้คำนึงถึงความพอเพียงพอประมาณ และคุณค่าของสังคมความเป็นไทยมากกว่า เพราะสิ่งนี้ต่างหากที่จะทำให้ประเทศไทยค่อยเจริญก้าวหน้าอย่างเข้มแข็ง มั่นคงและดำรงไว้ซึ่งจุดยืนของความเป็นไทย
แต่ปรากฏการณ์ที่แปลกไปกว่า นั้นก็คือบรรดาห้างค้าปลีกต่างชาติทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็ไม่เห็นมีสักห้าง ที่ต้องล้มเลิกกิจการทั้งที่แทบจะมีอยู่ทุกซอกทุกมุมของประเทศไทย
ทำ ให้เกิดคำถามที่ตามมาว่าเจ้าถิ่นอย่าง “ร้านโชว์ห่วย” มีอะไรที่ไม่ดีหรือสู้กับห้างค้าปลีกของชาวต่างชาติไม่ไก้ตรงไหนถึง ต้องทยอยปิดตัวลงเรื่อยๆ ตามอัตราการขยายตัวของฝ่ายตรงข้ามที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
ใน หลายแง่มุมที่บรรดาเจ้าของกิจการ “ร้านโชว์ห่วย” ของไทยจะต้องยอมรับคือมาตรฐานของห้างค้าปลีกต่างชาติไม่ว่าจะเป็นด้านราคา คุณภาพของสินค้า ด้านการให้บริการ รวมทั้ง โปรโมชั่นต่างๆที่มีออกมาเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดเรียกได้ว่าทำออกมา อยู่ในระดับที่สมบูรณ์เกือบจะ 100 % ในขณะที่ “ร้านโชว์ห่วย” มักจะมีปัญหาเช่นราคาที่แพงกว่า บรรยากาศที่อาจจะไม่น่าอภิรมย์เท่า เพราะงบประมาณในการก่อตั้งกิจการที่แตกต่างกันลิบลับ
แต่มี สิ่งหนึ่งที่ห้างค้าปลีกจากต่างชาติไม่สามารถลอกเลียนแบบร้านโชว์ห่วยได้เลย ก็คือการเป็นส่วนหนึ่งในเอกลักษณ์ของความเป็นไทยเพราะร้านค้าประเภทนี้เป็น สิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมานานและเป็นที่คุ้นเคยต่อสังคมบ้านเรามาตลอด อยากให้ลองนึกภาพของสังคมไทยย้อนไปสัก 20 ปีที่แล้วก่อนที่จะมีห้างค้าปลีกจากต่างชาติเข้ามาระบาดในไทยนั้น ก็จะมีเพียงร้านโชว์ห่วยที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่จับจ่ายใช้สอย แต่ยังรวมไปถึงสถานที่พบปะชุมนุมเพื่อร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆของคนในชุมชน ซึ่งภาพเหล่านี้หาไม่ได้เลยจากบรรดาห้างค้าปลีกจากต่างชาติเจ้าของ “ลัทธิทุนนิยม” ที่กำลังพยายามเข้ามาบุกรุกและกลืนกินวัฒนธรรมไทยที่มีค่าไปอย่างช้าๆ
การ ที่ประเทศไทยยอมให้มีการเข้ามาลงทุนในลักษณะห้างค้าปลีกจากชาวต่างชาติ หรือในลักษณะอื่นๆนั้น ก็ถือว่าไม่ผิดเพราะโลกในยุคนี้แทบจะถูก “ลัทธิทุนนิยม” เข้ามาครอบงำประเพณีหรือวัฒนธรรมของของแต่ละชนชาติอยู่แล้ว แต่ภาครัฐเองก็ควรที่จะให้การสนับสนุนกับกิจการของคนภายในประเทศด้วยไม่ใช่ สักแต่อยากได้เงินลงทุนจากต่างชาติ ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าการที่ปล่อยให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าคนไทย จะได้ประโยชน์ในระยะยาวแต่กลับเป็นนักลงทุนต่างหากที่เข้ามากอบโกยเงิน ทองออกจากประเทศชาติอย่างไม่จบสิ้น
ปัญหาห้างค้าปลีกจากชาว ต่างชาติถือว่าเป็นเพียงบางส่วนของปัญหาจากการเข้ามาลงทุนทางธุรกิจจากภาย นอกประเทศ เลยอยากจะฝากถึง “ผู้มีอำนาจ” ทั้งในปัจจุบันและอนาคตว่าบางครั้งการที่คำนึงถึงแต่ตัวเลขทางการเงินเพียง อย่างเดียว มันก็ไม่ใช่วิธีที่จะทำให้คนภายในประเทศกินดีอยู่ดีได้ แต่อยากให้คำนึงถึงความพอเพียงพอประมาณ และคุณค่าของสังคมความเป็นไทยมากกว่า เพราะสิ่งนี้ต่างหากที่จะทำให้ประเทศไทยค่อยเจริญก้าวหน้าอย่างเข้มแข็ง มั่นคงและดำรงไว้ซึ่งจุดยืนของความเป็นไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น