วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Review & Spoil : Pacific Rim สงครามอสูรเหล็ก มันคือก็อตซิลล่า เวอร์ชั่นหุ่นยนต์

     บอกตรงๆว่าสิ่งแรกที่ทำให้สนใจหนังเรื่องนี้คือชื่อผู้ กำกับGuillermodel Toro ( Hellboy , Pan’s Labyrinth)เพราะเป็นผู้กำกับที่เคยมีเอี่ยวกับ โปรเจค TheHobbit มาพักใหญ่ (แต่ด้วยปัญหาหลายประการทำให้ในที่สุดก็ถอนตัวออกไปแต่ยังมีชื่อในฐานะทีม เขียนบทภาพยนตร์)และการการกำกับหนังในสไตล์ดาร์ค สตอรี่(โดยเฉพาะเรื่องPan’s Labyrinth นี่คงไม่ต้องพูดถึงความมืดหม่นของสไตล์ดาร์คแฟนตาซีที่เราไม่ค่อยได้พบ เห็นบ่อยนัก)

     มาพูดถึงตัวหนังกันบ้างเนื้อเรื่องย่อก็ประมาณว่า วันหนึ่งก็มีสัตว์ประหลาดมาบุกโลกที่เรียกกันว่า “ไคจู” มาบุกโลก มนุษย์จึงต้องสร้างเทคโนโลยีหุ่นยนต์ขั้นสูงขึ้นมาเพื่อใช้ต่อกรกับสัตว์ ประหลาดโดยใช้ชื่อว่าเยเกอร์ ซึ่งการทำงานของ เยเกอร์ จะต้องใช้นักขับหุ่น 2 คนเพื่อคานพลังที่มีมากจนไม่สามารถขับได้ด้วยตัวคนเดียวของหุ่นยนต์



     หนังเปิดเรื่องมาด้วยฉากการเข้ารุกรานโลกของเหล่าสัตว์ประหลาด ซึ่งนั่นทำให้กำแพงแห่งบางๆที่แบ่งกั้นมนุษยชาติโดยเชื้อชาติ ศาสนาฯลฯ ถูกทำลายลงทุกประเทศต้องจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อหาทางปราบเจ้าสัตว์ ประหลาดร้าย และหลังจากที่สูญเสียเมืองใหญ่ไปหลายเมืองในที่สุด เทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่เรียกว่า เยเกอร์ ก็ถูกสร้างขึ้น เพื่อปราบไคจู แน่นอนว่าในระยะแรกเหล่าไคจูก็ถูกปราบได้อย่างง่ายดาย โดยกองกำลังหุ่นยนต์ แต่ต่อมาเหล่าไคจูเริ่มมีวิวัฒนาการความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น Raleigh Becket พระเอกของเรื่องที่อยู่ในฐานะพลขับร่วมกับพี่ชายก็ได้ออกร่วมปฏิบัติการ แต่ทว่าเสียท่าให้กับ ไคจู จนพี่ชายของเขาต้องเสียชีวิตทั้งที่ยังอยู่ในสภาวะการเชื่อมต่ออยู่ (ขออธิบายเล็กน้อยถึงหลักการทำงานของ เยเกอร์คือ การใช้สมองของมนุษย์สองคนเชื่อมต่อกันเพื่อควบคุมตัวหุ่นยนต์ ซึ่งนั่นหมายความว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถมองเห็นความทรงจำของกันและกัน รับรู้ความรู้สึกซึ่งกันและกัน ) ซึ่งถึงท้ายที่สุดเขาจะสามารถเอาตัวรอดกลับมาได้ แต่ในสภาวะที่ต้องรับรู้ความรู้สึก เจ็บปวดและหวาดกลัวของพี่ชายตนก่อนที่จะตาย ทำให้เขาตัดสินใจหันหลังให้กับกองกำลัง และไปใช้ชีวิตในฐานะ คนงานสร้างกำแพง เพื่อป้องกันไคจู


      เวลาผ่านไปหลังจากที่ไคจูเริ่มมีวิวัฒนาการ เหล่ากองกำลังหุ่นยนต์ก็เริ่มพบกับความพ่ายแพ้บ่อยขึ้นจนในที่สุด เหล่าผู้ บริหารก็มีมติให้ เวลาอีก 8 เดือนหากไม่สามารถพัฒนากองทัพให้แข็งแกร่งได้จะทำการยุบกองกำลังนี้โดยเลือก ที่จะสร้างกำแพงและอพยพคนไปให้ห่างจากชายฝั่ง 300 กิโลเมตร เพราะเขาคิดว่านั่นเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดหัวหน้ากองกำลัง Stacker Pentecost จึงได้พยายามสร้างทีมที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมาซึ่งแน่นอนว่าตามไปรับพระเอก กลับ มาเข้าร่วมทีมด้วย ต่อจากนั้น เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรก็ลองหาแผ่น DVD มาชมกันได้นะคะ 



     ส่วนตัวขอยกนิ้วให้กับฉากเปิดเรื่องมากค่ะทำได้สุดยอดจริงๆกับฉาก ดวลเดือดระหว่าง ไคจู กับหุ่นยนต์รบ สนุก ตื่นเต้นสมจริงอย่างที่สุดประหนึ่งเราเข้าไปนั่งร่วมชมอยู่ในเหตุการณ์แถว หน้าโดยเฉพาะตอนที่ฝ่ายพระเอกเสียท่า จนพี่ชายที่เป็นพลขับร่วมต้องตายไปบรรยากาศที่ยังอยู่ในระหว่างการเชื่อมต่อ ความเจ็บปวด ความหวาดกลัวทุกอย่างสื่ออกมาได้อย่างสมจริงมากแต่หลังจากนั้นรู้สึกพลังใน เรื่องจะดร็อปลงไปนิดหน่อย โดยเฉพาะในระหว่างการปูเนื้อเรื่องรู้สึกได้ถึงเคมีที่ไม่เข้ากันของพระนาง แต่ก็ประทับใจพอสมควรกับฉากความสัมพันธ์ ระหว่างหัวหน้ากองกำลังหน่วยปฏิบัติการ Stacker Pentecost และนางเอก Mako Mori ที่สื่ออกมาถึงจะไม่ดีนักแต่ก็ไม่แย่ ส่วนในส่วนท้ายของเรื่องแน่นอนว่าฉากการต่อสู้ยังทำได้อย่างยอดเยี่ยมแต่การ แสดงของนักแสดงนั่นแหละที่ทำให้จากที่อารมณ์ร่วมในหนังควรจะเต็ม 10กลับเหลือแค่ 8 หรือ 7 ในหลายๆซีน


     แต่อยากจะขอชื่นชมการแสดงของ Mana Ashida ที่รับบทเป็นMako Moriนางเอกของเรื่องในวัยเด็กมาก เพราะในขณะที่ผู้ใหญ่ก็ทำหน้าที่ตามบทของตัวเองได้แบบไม่ค่อยดีนัก( โดยเฉพาะพระเอก เอ่อ...รู้สึกจะเล่นแข็งๆไปหน่อย)แต่การแสดงของหนูน้อยคนนี้กลับเป็นที่จดจำ มากกว่าการแสดงของผู้ใหญ่ในเรื่องซะอีก ถึงแม้จะเป็นแค่บทที่อยู่ในความทรงจำแต่การแสดง อาการหวาดกลัว ทุกสิ่งทุกอย่างที่สื่ออกมามันแสดงให้เห็นได้ว่าทุกอย่างนั้นน่ากลัวจริงๆ ยอดเยี่ยมมากคาดว่าถ้ามีโอกาสและบทดีๆนักแสดงเด็กคนนี้น่าจะมีอนาคตที่สดใส ในเส้นทางสายนักแสดงแน่นอน




     ทำไมถึงบอกว่า  Pacific Rim  คือ ก็อตซิลล่า เวอร์ชั่นหุ่นยนต์  ถึงแม้ส่วนตัวจะไม่ได้เป็นแฟนพันธ์แท้ หนังเฟรนด์ไชน์ชุดนี้  แต่อารมณ์ครั้งแรกที่เปิดตัวมากับฉากต่อสู้ระหว่างฝ่ายไคจู และ หุ่นยนต์เยเกอร์ มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังก็อตซิลล่าปะทะสัตว์ประหลาดอย่างมากถึงจะ ไม่ได้ดูก็อตซิลล่ามานานแล้วแต่มันเป็นอารมณ์คงค้างที่ติดอยู่ในใจเสมอเพราะ มันเหมือนการต่อสู้กันของยักษ์ใหญ่สองตัวที่มีอารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดจำได้ว่าตอนเด็กเคยดูก็อตซิลล่าสู้กับอะไรสักอย่าง(น่า จะเป็นคิงคองมั้ง) แล้วร้องให้เพราะสงสารทั้งสองฝ่าย(555) มันเป็นความละม้ายคล้ายคลึงอย่าง ประหลาดในแง่ของอารมณ์หลักของเรื่อง  ซึ่งก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทั้งที่หนังเรื่องนี้เป็นหนังจากทาง ฝั่งHollywood แต่กลิ่นอายและอารมณ์มันถึงดูเป็น Japan มากมายขนาดนี้ (ตอนเห็นไคจูครั้งแรกนึกถึง ไคจู”  สัตว์ประหลาดในการ์ตูนเรื่องLetter Bee แถมหน้าตาของเจ้าไคจูในเรื่องก็ดันไปคล้ายกับในการ์ตูนอีกพอพูดถึงเรื่องการ สร้างกำแพงก็ไปคิดถึง Attack on Titan พอ ดูอารมณ์หลักก็ดันไปนึกถึงก็อตซิลล่าอีกน่าจะมาจากช่วงนี้ดูการ์ตูนญี่ปุ่น มากไปหน่อย ) แถมยังแกนที่เน้นไปที่พลังมิตรภาพ สามัคคีคือพลังอะไรนั่นอีก แผ่กระจายไปเต็มเรื่อง หรือว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันยังไงถ้าใครที่ติดตามโปรเจคนี้มาตลอดทราบก็ รบกวนช่วยบอกทีนะคะ 



      สรุปแล้วก็เป็นหนังที่สนุกมากเรื่องหนึ่งถึงแม้การแสดงของนักแสดงในเรื่องจะ ฉุดอารมณ์ของหนังเรื่องนี้ลงมาอยู่บ้างแต่ในแง่ของสเปเชี่ยลเอฟเฟ็ก ความสมจริงของฉากต่อสู้ ดีไซน์คาแร็กเตอร์ทั้งฝ่ายไคจูและฝ่ายเยเกอร์ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้าไม่ยึดติดกับการแสดงของนักแสดงมากนัก แค่ดูหุ่นยักษ์กับสัตว์ประหลาดสู้กันก็คุ้มแสนคุ้มแล้วค่ะ

ขอให้สนุกกับการชมภาพยนตร์นะคะ (^^)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น